การบวชพระในภาคเหนือ
***********

งานบวช ทางเหนือเรียกว่า "งานปอย" หรือ "เป๊กข์ตุ๊" กุลบุตรที่บวชจะต้องมีอายุตั้งแต่ 7 ปี ขึ้นไป ถึง 20 ปี เรียกว่า "บวชพระ" เพราะนิยมเรียกสามเณรทั้งหลายว่า "พระ" สามเณรที่มีอายุ น้อยกว่า "พระน้อย" (พระหน้อย) ถ้าเป็นสามเณรที่มีอายุมากเรียกว่า "พระโคร่งหรือสามเณรโคร่ง" หากลาสิกขาออกไปจะ ถูกเรียกชื่อว่า "หน้อย" "น้อย" ส่วนการเป๊กข์ นิยมทำกับกุลบุตรที่อายุ 20 ปี ขึ้นไป เรียกว่า อุปสมบท  หรือ เป๊กข์ เมื่อเป็นพระภิกษุเรียบร้อยแล้ว  จะเรียกขานว่า "ตุ๊" และเมื่อลาสิกขาบทออกไปเป็นคฤหัสถ์ ชาวบ้านจะเรียกว่า "ขนาน" หรือ "หนาน" งานบวชนาค จะมีวัน "ดาปอย" เป็นการตระเตรียมงานเมื่อกุลบุตร จะบรรพชา หรือ จะอุปสมบทนั้น พ่อแม่ ผู้ปกครอง ต้องไปบอกกล่าว ตกลงใจกับเจ้าอาวาส  ที่สามารถให้ อุปัชฌาย์ ในการบรรพชาหรืออุปสมบท เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ก็จะมีการเตรียมตัวนาค (กุลบุตรผู้จะบวช) จะมีการแผ่นาบุญ (หน้าบุญ) โดยให้คนใกล้ชิด 2-3 คน นำผ้าสบง จีวรใส่พานขึ้นไปตามบ้าน ญาติมิตร เพื่อบอกหน้าบุญ เมื่อทราบแล้วก็จะยกพานผ้าขึ้นจรดหน้าผาก พร้อมทั้งกล่าวคำอนุโมทนาสาธุ ปัจจุบันนิยมบอกบุญโดยการส่งการ์ดหรือบัตรเชิญ วันดาปอย คือวันก่อนที่จะทำการอุปสมบทหรือบรรพชา 1 วัน เจ้าภาพจะมีการเตรียมการ เกี่ยวกับเครื่องบวช เช่น ผ้าไตร บาตร หรือ  อัฏฐบริขารให้พร้อม และต้องเตรียม อาหารการกินไว้ต้อนรับแขก ที่จะมาร่วมอนุโมทนา ซึ่งถือดอกไม้ ธูปเทียน จตุปัจจัย ใส่ในพานนาค เรียกว่า "ฮอมปอย" นาคก็จะรับดอกไม้ธูปเทียนดังกล่าว และให้พรตอบแทน บางแห่งจัดทำพิธีรับขวัญนาค โดยจัดทำต้นเผิ้ง (ต้นผึ้ง) และเชิญอาจารย์ซึ่งเป็นมัคทายก หรือ "หนาน" เป็นผู้ทำพิธีทำขวัญนาค เพื่ออบรมกล่อมเกลาจิตใจให้ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และรำพันถึงพระคุณของมารดา บิดา ที่เลี้ยงตนมา ทางเหนือเรียกผู้ที่จะอุปสมบทหรือบรรพชา หรือนาคว่า "ลูกแก้ว" โดยจะไปโกนผมที่วัด ญาติพี่น้องจะพาลูกแก้วไปแต่งตัว ด้วยผ้านุ่งสีขาว นุ่งห่มโจงกระเบน สวมชฎา แต่งหน้า ทาปาก ทาคิ้ว ประดับแหวน ประดับสร้อย ล้วนของมีค่ามากมาย เสร็จแล้วจะมีพิธีแห่นาค โดยใช้รถบ้าง ม้าบ้าง บางแห่งให้ลูกแก้วนั่งบนหลังช้างไปตามถนนแวะบ้านญาติ เพื่อผูกข้อมือรับขวัญ งานปอย ถือกันว่าเป็นงานมงคลที่ยิ่งใหญ่เจ้าภาพจัดเลี้ยง เพื่อบำเพ็ญทาน ตามแต่ฐานะ ของแต่ละคน บางคนอาจจัดมหรสพ ให้มี ซอ รำวง ดนตรี ลิเก หรือ ภาพยนตร์ เป็นการเฉลิมฉลองกันอย่างครึกครื้น ผู้คนไปทำบุญ ก็จะได้ร่วมรับประทานอาหาร อย่างอิ่มหมีพีมัน และได้ชม มหรสพต่างๆ  ต่อมาวันรุ่งเช้าเวลาประมาณ 7โมงเช้า ก็พานาคไปทำพิธีรอบประทักษิณ  (เวียนรอบอุโบสถ ) จำนวน 3 รอบ เสร็จนำนาคเข้าไปรอพระสงฆ์อยู่ในอุโบสถ จากนั้นก็กราบอาราธนานิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 10 -100  รูป ตามกำลังทรัพย์ของเจ้าภาพ จากนั้นพระสงฆ์จะได้ทำพิธีให้ศีลบวชเป็นเณรก่อน ต่อมาพระสงฆ์จะได้ประกอบพิธีแสดงอาบัติและเริ่มพิธีสังฆกรรมอุปสมบทให้เณรเป็นพระภิกษุในช่วงระหว่างพระสงฆ์ประกอบพิธีสังฆกรรม ปุถุชนหรือคณะศรัทธาจะต้องหนีออกจากเขตพัทธสีมาของพระอุโบสถให้หมด ไม่ว่ากรณีใดๆห้ามเข้าไกล้แม้แต่สัตว์หมูหมากาไก่ก็แล้วแต่จะต้องขับไล่ออกไปให้หมดๆ เมื่อพระภิกษุทำสังฆกรรมเสร็จหมดแล้วจากนั้นก็จะเชิญแขกผู้มีเกรียติและญาติพี่น้องของพระใหม่ขึ้นไปบนพระวิหารเพื่อทำพิธีถวายจะตุปัจจัย แด่พระสงฆ์ และหยาดน้ำหมายทานไปถึงบรรพบุรุษเจ้ากรรมนายเวร จากนั้นพระใหม่ก็จะรับบิณฑบาต และแจกพวยทาน เสร็จจากนั้นก็จะลงไปถวายภัตตาหารเช้า แก่พระภิกษุสงฆ์ สามเณร พระภิกษุสงฆ์สามเณรอนุโมทนาเป็นอันเสร็จพิธี จากนั้นรอพระสงฆ์ฉันเสร็จ พอเสร็จแล้วก็จะเลี้ยงแขกผู้มีเกรียติผู้ที่มาร่วมงานบุญ หรือเรียกตามภาษาพระก็คือ ขโยม มานั่งฉันต่อจากพระสงฆ์จยอิ่มจากนั้นก็พักตามอัธยาศัยทักทายปราศัยกันไปตามญาติพี่น้องกันสำหรับพระบวชใหม่ก็จะต้อง "อยู่กรรม" นอนบนวิหารหลวงเป็นเวลา ประมาณ 3-7 วัน เพื่อรำลึกถึงพระคุณของพ่อ แม่ โดยใช้ลูกประคำ "ตกหมากนับ  และสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นภาวนาแผ่ฝายนาบุญให้กับสัพพะสัตว์ตลอดจนถึงบรรพบุรุษเจ้ากรรมนายเวรและเทวัณและเทวดาประจำตัวและเจ้าที่เจ้าทางทุกๆสิ่งในสากลนโลกให้เขาได้รับผลบุญยาที่เรากระทำอยู่ในช่วงเวลาอันน้อยนิดจากนั้นจำวัดตื่นเช้าทำวัตรเสร็จออกไปรับบิณฑบาตโปรดเมตตาพ่อแม่ออกศรัทธาภายนอกวัด เพื่อมาฉันเช้า และ เที่ยง 2 เวลา ประพฤติปฏิบัติแบบนี้ไปทุกๆวันให้ครอบ จำนวน 7 วัน จากนั้นจะลาสิกขาหรือไหมก็สุดแต่เจ้าตัวพระใหม่ หากอยู่ต่อก็จะแจ้งให้เจ้าอาวาสได้รับทราบว่าจะอยู่ไปตลอดพรรษาหรืออยู่เฉพาะ 2 - 3 เดือน นั้นก็สุดแต่ กรณีอยู่ไปเรื่อยๆ ทางเจ้าอาวาสก็จะให้อยู่ตามระเบียบของวัด และอยู่ในโอวาทดุลพินิจของเจ้าสำนักนั้นๆ