วัดกับการสงเคราะห์ชุมชน
พระสงฆ์กับการพัฒนาชุมชน
บทบาทของพระสงฆ์กับการพัฒนาชุมชนโดยกำหนดจุดประสงค์ที่จะพูดไว้ คือ
เชิงปฏิบัติการ คือเอาประสบการณ์การทำงานมาทำการพัฒนาให้มันดีขึ้น ความภาคภูมิใจที่ทำและที่เราจะลงไปทำเชิงบูรณาการ สำหรับที่ทำงาน ที่อยู่จะมีปัญหา มีความขัดข้องไม่สะดวกสบายด้วยประการต่าง ๆ จะได้แก้ไข จะได้ปรับปรุงให้เกิดความพอเหมาะพอดี เพราะฉะนั้น จึงเน้นในเชิงของการบูรณาการด้วย
เรื่องของพระสงฆ์ที่จะมีบทบาทต่อการพัฒนาชุมชนนั้น วิญญาณของพระสงฆ์ที่จะเกื้อกูลต่อการพัฒนาจะต้องใส่วิญญาณสื่อตัวนี้ลงไป สื่อรักวัดเหมือนบ้าน รักงานเหมือนชีวิต รักลูกศิษย์เหมือนลูกหลาน รักชาวบ้านเหมือนญาติพี่น้อง ใส่วิญญาณตัวนี้ไป
ถ้าพระสงฆ์รูปใดอยู่วัดแล้ว ท่านคอยเอารัดเอาเปรียบวัด เผลอไม่ได้ เอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา ทุกเรื่องจะไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานพัฒนา นอกจากรักวัดเหมือนบ้านแล้ว จะต้องรักงานเหมือนชีวิต ชีวิตเป็นสิ่งมีค่า งานจะนำเราไปสู่เกียรติยศ และศักดิ์ศรี เป็นที่ยอมรับของคนทั้งหลาย เพราะค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน เพราะฉะนั้นจะต้องรักงานเหมือนชีวิต รักลูกศิษย์เหมือนกับลูกหลาน เพราะลูกศิษย์เป็นแนวร่วมกับเรา ลำพังเราคงจะทำอะไรไม่ได้เท่าไร ถ้าเราไม่มีแนวร่วม เพราะฉะนั้นจะต้องหาแนวร่วม แนวร่วมที่ดีที่สุดคือ ลูกศิษย์ คนใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นพระเป็นเณร เป็นลูกศิษย์ เป็นสัตบุรุษ ทายกทายิกา คนรอบ ๆ วัด หรือแม้แต่บางรายเป็นคนที่อยู่ห่างจากวัดที่เราอยู่ออกไปก็เป็นลูกศิษย์ได้ จะต้องทำความรู้สึกต่อลูกศิษย์ทั้งหลายทั้งปวงเหมือนกับลูกหลาน รักชาวบ้านเหมือนญาติพี่น้องถ้าทำความรู้สึกเป็นอย่างอื่นจะมีขาเขาขาเราจะมีขานอกขาใน
ฉะนั้น จะต้องมีความรู้สึกต่อชาวบ้านเหมือนกับญาติพี่น้อง พระสงฆ์เมื่อใส่วิญญาณไปอย่างนี้แล้วจะต้องทำอะไรบ้าง พระนักปกครอง พระนักศึกษา พระนักปฏิบัติ พระนักพัฒนา พระนักสังคมสงเคราะห์ จะต้องทำอะไรบ้าง พระคามวาสี อรัญญวาสี จะต้องทำอะไรบ้าง พระจะต้องทำหน้าที่ตามพุทธวจนะที่เราเรียนมาจากคัมภีร์พระไตรปิฎกเรียนมาจากคัมภีร์พระธรรมบท คัมภีร์อื่น ๆ ก็จะเห็นว่าพระพุทธองค์ได้มอบหมายภาระหน้าที่ไว้ให้กับพระภิกษุสงฆ์ ๒ ประการ หน้าที่เรียกว่าธุระ คือ คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ
ประการแรก คันถธุระ คือ หน้าที่ว่าด้วยการศึกษา การศึกษาเล่าเรียน และการศึกษาอบรม คงไม่ใช่การศึกษาเล่าเรียนเพียงอย่างเดียว การศึกษา และการศึกษาอบรม การศึกษาเล่าเรียนคือการศึกษาในชั้นเรียน เรียนนักธรรมตรี โท เอก เรียนบาลีประโยค ๑-๒ ถึง ป.ธ.๙ เรียน ม.๑ ถึง ม.ปลาย ในระดับ อุดมศึกษาปี ๑ ถึง ปี ๔ อย่างนี้เรียกศึกษาเล่าเรียน ส่วนการเรียนนอกจากนี้ ได้แก่การสัมมนาระยะสั้น ๑ วันจบ ๒ วันจบ อย่างนี้เรียกว่าการศึกษาอบรมเป็นงานคันถธุระเหมือนกับการเพิ่มพูนความรู้และสติปัญญา
ประการที่สอง คือ วิปัสสนาธุระ ได้แก่การลงมือปฏิบัติ ลงมือปฏิบัติไปจนกว่าจะเกิดความรู้ ๓ ขั้น คือ รู้จำ รู้แจ้ง และรู้จริง รู้จำถอดใจความมาจากปริยัติ คือการเรียนตามตำรา เพื่อให้มีความจำ จำได้มาก หลักของการปริยัติเขาเน้นตัวนี้ รู้จำ รู้แจ้ง ก็คือ การลงมือทำ เอาความรู้ที่ได้จากการเรียนไปปฏิบัติคือ ไปปรับใช้ในท้องถิ่นต่าง ๆ โดยการดำเนินภารกิจต่าง ๆ เมื่อลงมือทำงานจะเกิดความรู้ขึ้นมาชนิดหนึ่ง ซึ่งความรู้ชนิดนั้นเป็นความรู้จากการปฏิบัติ ไม่ใช่ความรู้ทางวิชาการ มีลักษณะที่พิเศษแตกต่างกันออกไป จะทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นแม่นยำ แน่นอน ทำให้เกิดความแจ้งชัดผลของการศึกษาเล่าเรียนขึ้นมา และต่อไปก็จะได้ความรู้ที่สูงขึ้นไปกว่านั้นอีกขั้นหนึ่งคือ ความรู้จริง ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ หมายถึง การรู้จริง ตามสภาวะความเป็นจริง
งานของพระนักศึกษาไม่ว่าจะเป็นระดับต่ำสุดระดับนวกะ ระดับนักธรรม บาลี ระดับมัธยม ระดับอุดมศึกษาจะต้องมีอยู่ ๒ ระบบ ศึกษาเล่าเรียนคือการศึกษาในระบบโรงเรียนและศึกษาอบรม คือการศึกษานอกระบบโรงเรียน เพื่อขยาย ๒ ระบบนี้ให้เห็นเด่นชัดออกมา ใส่วิญญาณของนักการศึกษาออกไปให้ครบ ๔ ตัว คือ เต็มใจ แข็งใจ ตั้งใจ และเข้าใจ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อันนี้เป็นการใส่วิญญาณลงไป เมื่อมีความรู้แล้ว ก็เหมือนคนติดอาวุธเมื่อได้รับการติดอาวุธก็ออกปฏิบัติหน้าที่ ออกลาดตระเวนได้ ออกไปประจำฐานได้ สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดงานเผยแผ่ก่อให้เกิดงานประชาสัมพันธ์ศาสนาของเรา คณะสงฆ์ของเรา หน่วยงานของเราจะต้องทำงานด้านนี้ จะต้องเน้นงานด้านนี้
การศึกษาของสงฆ์ในแนวใหม่เท่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แม้จะได้จัดตั้งกันมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงสถาปนามหาจุฬาฯ มหามกุฎฯ เวลาผ่านไปนับ ๑๐๐ ปี คณะสงฆ์ในประเทศไทยก็ยังไม่เข้าในการศึกษาระดับนี้ คือยังคิดว่าพระสงฆ์ที่ศึกษาเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยสงฆ์นั้นเรียนทางโลกไม่ใช่เรียนทางธรรม ไม่ใช่เรียนวิชาการทางศาสนา ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงเนื้อหาวิชาในระดับมัธยม และระดับอุดมศึกษาของเราเรียนวิชาศาสนาถึง ๖๐% เรียนวิชาสามัญไม่ขัดกับสมณเพศ เกื้อกูล ต่อการประกอบศาสนกิจของเราเพียง ๔๐ % คนก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ยังหาว่าพระสงฆ์เรียนทางโลก ซึ่งความจริงมันไม่ใช่
ใครบ้างไม่เข้าใจ ขอฝากให้พิจารณา แต่ที่สังเกตพบคือ มีลักษณะ จะตั้งข้อรังเกียจไม่ยอมรับพระที่มาจากจังหวัดต่าง ๆ หัวเมืองต่าง ๆ ที่จะมาอยู่วัดเพื่ออาศัยศึกษาเล่าเรียนเพื่อเพิ่มพูนคุณภาพหรือศักยภาพของพระสงฆ์เราให้สูงขึ้น บางรายเขาบอกว่าเดินหาวัดอยู่รองเท้าขาดไป ๓ คู่ สะพายย่ามขาดไปตั้ง ๒ ใบก็ไม่ได้ เหล่านี้คือความไม่เข้าใจในวงการคณะสงฆ์ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พระสงฆ์เราไม่เข้าใจ อะไรเป็นสาเหตุที่ทางราชการไม่เข้าใจ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนไม่เข้าใจก็คืองานเผยแพร่งานประชาสัมพันธ์ของเราอ่อน มหาวิทยาลัยของเราอ่อนการประชาสัมพันธ์ อ่อนการเผยแพร่มาก
อย่างไรก็ตามงานเผยแผ่ของเราตามพุทธดำรัสว่า จรถ ภิกฺขเว จาริกํ พหุชนหิตาย พหุชนสุขาย โลกานุกมฺปาย พระพุทธองค์ตรัสไว้ในการส่งพระภิกษุสงฆ์เป็นธรรมทูตชุดแรกออกไปประกาศพระศาสนาว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไปตามจุดประสงค์ เพื่อการบำเพ็ญประโยชน์ต่อปวงชน เพื่อการเสริมสร้างความสุขต่อปวงชน และเพื่อเมตตานุเคราะห์ ต่อประชาชนชาวโลกทั้งปวง” เป็นงานที่พระสงฆ์เราเรียนรู้แล้วจะต้องเอาไปทำงาน ไม่ว่าจะสำเร็จเป็นพุทธศาสตรบัณฑิต หรือพุทธศาสตรมหาบัณฑิต อย่าลืมกลับออกไปสู่ชนบท แม้จะอยู่ในเมืองกรุงก็ยังมีชุมชนที่เราจะต้องทำการพัฒนาอยู่
พระสงฆ์ไทยเรามีงานธรรมทูต มีงานธรรมจาริก งานธรรมทูตมีกองงานโดยการสนับสนุนของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ งานธรรมจาริก มีกองงานสนับสนุนของกรมประชาสงเคราะห์ งานธรรมทายาท เป็นงานที่พระพุทธเจ้าจัดตั้งพระสงฆ์ให้กับพุทธสาวก ว่า เป็นศาสนาทายาทกันเท่าไร เพิ่งจะมาเน้นกันไม่กี่ปีมานี้ โดยท่านปัญญานันทะ (พระพรหมมังคลาจารย์) วัดชลประทานรังสฤษฎ์ งานอ.ป.ต. คือ งานจัดตั้งหน่วยอบรมประชาชนประจำตำบล โดยเน้นหัวข้ออบรมศีลธรรม วัฒนธรรม สุขภาพอนามัย สัมมาอาชีพ สันติสุข ศึกษาสงเคราะห์ สาธารณสงเคราะห์ สามัคคี กตัญญู เป็นขบวนการทำงานที่มุ่งการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องของประชาชน เสริมสร้างสิ่งที่เป็นความผาสุขแก่ประชาชน ดูแลรักษาสิ่งที่เป็นความผาสุข และสิ่งที่เป็นประโยชน์ของประชาชน เป็นงานที่มหาเถรสมาคมว่าด้วยการจัดตั้งหน่วย อ.ป.ต. เป็นหน่วยงานที่อ่านดูตามระเบียบแล้วมีความครบถ้วนสมบูรณ์แบบเป็นที่สุด แต่ว่าขาดการติดตาม เพราะฉะนั้นงานนี้ก็ดี เหมือนกับงานอื่น ๆ งานเผยแพร่อื่น ๆ ที่ท่ามันดี แต่ขาดติดตาม
ต่อไปงานอบรมคุณธรรม ๔ ประการ กุศลสมาทาน ๕ ประการ การยกระดับประชาชน ๕ ประการ เป็นงานที่สนับสนุนอุดมการณ์ แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์พระประมุขของชาติ งานเชิญชวนข้าราชการ นักเรียนเข้าวัดฟังธรรมในวันธัมมัสสวนะ วันหยุดราชการ งานนี้เน้นกันอยู่ระยะหนึ่งให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าของเรื่อง วันนั้นกำหนดให้เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม กำหนดให้หน่วยงานนั้นเข้าวัดนั้น เหล่านี้เป็นได้ระยะหนึ่งก็ไม่เกิน ๒ ปี และตอนนี้เกิน ๒ ปีไปแล้ว งานนี้ก็ไม่มีใครพูดถึงเท่าไหร่ ต่างว่ามีคน มีหน่วยงานที่นำประชาชน นำครู นำนักเรียนไปเข้าวัดก็จริง ก็หาพระเทศน์ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทศน์ให้เด็กตัวเล็ก ๆ ฟัง หาพระเทศน์ยาก เทศน์ให้ระดับมัธยมและระดับสูงขึ้นไปกว่านั้นยังพอหาคนเทศน์ได้ แต่ถ้าเทศน์ให้เด็กระดับประถม เด็กระดับอนุบาลฟังหาพระเทศน์ยากไม่ว่าจะเป็นที่ไหน อันนี้จากที่มีประสบการณ์มาเราไม่ได้เตรียมพร้อม
คุณสมบัติของพระนักเผยแผ่หรือนักประชาสัมพันธ์ ในเชิงของวิชาการมีคุณสมบัติดังนี้
๑. โสตา ต้องฟังเป็น แม้จะเป็นพระกรุงเทพฯ ก็ฟังพระหัวเมืองได้ แม้จะเป็นดอกเตอร์ก็ต้องฟังพระ ป.๔ พูดได้
๒. สาเวตา พูดเป็น ไม่ใช่ดีแต่ฟังเขา แต่พูดให้เขาฟังไม่เป็น ไปรายการไหนก็เป็นฝ่ายรับฟังเขาตลอด คือ เป็นฝ่ายเอาเข้า แต่ไม่เอาออก คิดดูสภาพอาหารที่ดีเอาเข้าสู่ร่างกายเอาเข้าไปทุกวันมันจะมีปฏิกิริยาเป็นอย่างไร ฉะนั้น นอกจากฟังเป็นแล้วจะต้องพูดให้เขาฟังเป็นด้วย
๓. อุคฺคเหตา เรียนเป็น
๔. ธาเรตา จำแม่นในเนื้อหาวิชา
๕. วิญฺญาเปตา หาอุบายให้คนอื่นเขารู้สึกเร็ว
๖. กุสโล สหิตาสหิตสฺส คือ ฉลาด ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และไม่เป็นประโยชน์
๗. โน ครหการโก ไม่ก่อการทะเลาะวิวาทกับใคร ไม่ว่าเรื่องธรรมยุติ เรื่องมหานิกาย เรื่องสีเหลือง สีกรัก อย่าเอามาเป็นเรื่องทะเลาะวิวาท
หน้าที่ของพระสงฆ์ที่พระเจ้าอยู่หัวท่านถวาย อันนี้ได้มาจากแผ่นสัญญาบัตร ประกาศนามที่ไม่มีวางขายในท้องตลาด ลงพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งให้องค์นั้นเป็นพระครูนั้น ตั้งให้องค์นี้เป็นเจ้าคุณ อะไรอย่างนี้ บอกว่า ขอพระคุณเจ้าจงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์ และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในอาราม นี้คือภาระหน้าที่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขอถวายแก่พระสงฆ์ระดับพระผู้ใหญ่อยากได้กันหนักหนา บางรายอยากได้จนเนื้อเต้น แต่ว่าได้แล้วไม่อยากทำอะไร ไม่อยากทำงานตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านขอร้องท่านระบุไว้ในแผ่นสัญญาบัตร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด คิดไปก็ยิ่งแต่จะเห็นไป
อันนี้พระนักปฏิบัติก็จะต้องมีลักษณะของพระสุปฏิปันโน คือ พระปฏิบัติดี ดีแบบไหน ดีคือไม่เคร่งไม่หย่อน เอาแค่นี้ก็ดีพอยึดถือสายกลางเป็นที่ตั้ง สุปฏิปันโน สุสิกขิโต เป็นพระศึกษาเล่าเรียนฝักใฝ่ต่อการศึกษาเล่าเรียน ต้องเป็นพระที่มีการศึกษาเล่าเรียนตามสมควรแก่สถานะ ตามสมควรแก่โอกาส สุวโจ คือเป็นพระว่าง่าย สอนง่าย เป็นพระที่พูดกันได้ เป็นเจ้าอาวาสก็ฟังข้อคิดเห็นพระลูกวัดได้เมื่อเขาพูดให้ฟังอย่างมีเหตุผล จะต้องรับฟังพูดกันได้ เป็นพระสุภโร เป็นพระเลี้ยงง่าย และต้องเป็นนักสังคมสงเคราะห์ด้วย
นักสงคมสงเคราะห์ก็จะมีขอบข่ายของงานออกมาลักษณะนี้
๑. จัดตั้งโรงเรียน หรือจัดตั้งสถานศึกษาต่าง ๆ
๒. จัดตั้งสถานีอนามัย โรงพยาบาลหรือตึกสงฆ์อาพาธ
๓. จัดห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ ที่อ่านหนังสือ หอกระจายข่าว
๔. อนุเคราะห์การจัดตั้งสภาตำบลให้เป็นที่ประชุมของราษฎรของทางราชการ
๕. ตั้งบ่อน้ำดื่มน้ำใช้ประปาหมู่บ้านแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร
๖. กิจการสาธารณสงเคราะห์ต่าง ๆ ที่ไม่เกินต่อขีดความสามารถ ไม่ขัดพระธรรมวินัย และไม่เสียสมณสารูป
๗. กิจกรรมบรรเทาภัยธรรมชาติต่าง ๆ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วม ฯลฯ
๘. สงเคราะห์ในยามประสบมรณภัยคือในคราวตาย ต้องขวนขวายเอาใจใส่เป็นธุระจัดการให้
ในเรื่องสุขของชาวบ้านญาติโยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ใกล้ ๆ วัด ให้เขาเห็นสังฆคุณ คือ คุณของพระสงฆ์ว่าพระสงฆ์ได้ดูแลเอาใจใส่
สรุปงานที่พระสงฆ์ท่านทำออกเป็น ๔ ประเภท คือ
๑. งานศาสนวัตถุ
๒. งานศาสนธรรม
๓. งานศาสนพิธี
๔. งานศาสนบุคคล
งานศาสนวัตถุ เน้นใน ๓ ประเด็น ประเด็นที่หนึ่งเน้นความมีแผน ประเด็นที่สองเน้นการปฏิสังขรณ์ คือ การซ่อมแซมของเก่า ซึ่งใช้ทุนน้อยทำได้ง่ายกว่าการสร้างใหม่ เป็นไปตามพระพุทธวจนะของพระพุทธองค์ ด้วยว่าสนับสนุนให้ซ่อมแซมของเก่า สร้างสิ่งที่จำเป็นที่จะต้องสร้างใหม่ สร้างความจำเป็นก่อนและหลังตามแผนที่จัดทำเอาไว้คือ เรื่องของวัตถุจัดก่อสร้างโบสถ์วิหารศาลาการเปรียญ จะสร้างถนนหนทาง บ่อน้ำ สระน้ำ หอกลอง หอระฆัง ทำถนน ต้องมีแผน ต้องเป็นไปตามแผน แผนงานบางอย่างวางแผนปีนี้ปีหน้าจึงทำได้ ปีหน้าลงมือทำยังไม่สำเร็จ ต้องสองสามปีจึงเสร็จก็มี
เพราะฉะนั้น งานศาสนวัตถุต้องมีแผนแม้การปฏิสังขรณ์ซ่อมแซมของเก่า เป็นการให้ความสำคัญต่อผลงาน คนเก่ายอมรับ คนเก่าเห็นคุณค่าของมรดก เป็นการปฏิบัติการด้วยจิตวิทยาคือเอาใจใส่มวลชน สร้างสิ่งที่มีความจำเป็นว่า มันมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน เอาแต่จำเป็นอย่าให้เกินกว่าความจำเป็น ต้องนึกถึงสถานะรอบ ๆ วัดเรา ถ้าเราจะก่อสร้างโบสถ์ขึ้นมา ชาวบ้านจะแบบโบสถ์เอาไว้ในพื้นที่อำเภอหนึ่งกี่หลังคา การสร้างโบสถ์ ศาลา กุฏิ หอกลอง หอระฆัง เมรุ ประชาชนแบกสิ่งเหล่านี้ไว้ ภาระเป็นเท่าไร นอกจากนั้นพอตกฤดูแล้งมาก็จัดงานเลี้ยง วิ่งหามหรสพแข่งกัน บางรายจัดเองน่าเกลียดมาก
ศาสนธรรม นั้นให้ใช้จุดเน้น ๓ ประการคือ
๑. ศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้
๒. ใช้สื่อทุก ๆ แบบ
๓. เข้าใจซาบซึ้ง เน้นความเข้าใจซาบซึ้งในหัวข้อต่าง ๆ
ศาสนพิธี ขอให้เน้น ๒ ประเด็น คือ เน้นรูปแบบกับเน้นเนื้อหา รูปแบบงานบวชต้นไม้ งานบวชเณร งานบวชหน้าไฟ งานบรรพชาหมู่สามเณรภาคฤดูร้อน เน้นรูปแบบกำหนดรูปแบบออกมา เนื้อหาที่ทำออกมาทำเพื่ออะไร มันมีความหมายว่าอย่างไร
ศาสนบุคคล เน้น ๔ ประเด็นคือ
๑. ไม่ห่าง
๒. ไม่ว่าง
๓. เจริญงอกงาม
๔. มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันกับผู้บังคับบัญชา
ไม่ห่าง ไม่ห่างตำรา ไม่ห่างต่อเพื่อนร่วมงาน ไม่ห่างจากลูกน้องที่อยู่ในบังคับบัญชา
ไม่ว่าง คืออย่าปล่อยเวลาให้ว่าง ถ้าปล่อยให้เวลาว่าง จิตใจก็คิดไปอย่างอื่น พยายามให้หมดไปกับงาน อาทิตย์หนึ่งทำงาน ๗ วัน วันหนึ่งทำงาน ๑๘ ชั่วโมง ตื่นขึ้นทำงานก่อนพระอาทิตย์ หยุดทำงานเมื่อ ๑๘ นาฬิกา ๒๒ นาฬิกา ผมจึงหยุดทำงาน ทำงานมากกว่าพระอาทิตย์ แต่ผลงานไม่ได้เท่าพระอาทิตย์ เพราะเราเป็นคนชั้นต่ำ พระอาทิตย์เป็นชั้นสูง กว่าจะหาคนยอมรับสักคนหนึ่งนั้นยาก เพราะฉะนั้น ต้องทำงานมากกว่าเขา ต้องไม่ว่าง
เจริญงอกงาม คือต้องเจริญด้วยภูมิธรรม และความสามารถเพิ่มพูนงอกงามขึ้น
มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน คนใกล้ชิดอย่าสร้างศัตรู นี่คือความคาดหวังของประชาชน แม้ไฉนหนอพระสงฆ์จะทำวัดให้สะอาดร่มรื่น สบายตา สบายใจ ไฉนหนอ จะพึงเห็นพระสงฆ์เป็นตัวอย่างแห่งความดีความสงบดับความเร่าร้อนทางจิตใจ เป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน แม้ไฉนหนอ อยากเห็นพระสงฆ์ทำคุณประโยชน์ต่อชุมชนรอบวัดตามขีดความสามารถของท่าน เขารู้ว่าพระสงฆ์ของเรามีศักยภาพไม่เท่ากัน ท่านพุทธทาสก็ระดับหนึ่ง ท่านปัญญาก็ระดับหนึ่ง ระดับเรา ๆ ก็อีกระดับหนึ่ง เขารู้ ข้าราชการก็รู้ระดับประชาชนเขาก็รู้ แต่เขาต้องการว่าทำประโยชน์ตามขีดความรู้ความสามารถ
นี่คือสิ่งที่ประชาชนคาดหวังต่อพระสงฆ์เอาไว้ ประชาชนที่เขาคาดหวังที่เราจะต้องลงไปทำการพัฒนาเขา คือใครเขาอยู่ตรงไหนนี้ เรากำลังจะพูดถึงคนกุล่มใหญ่ในแผ่นดิน ๒ กลุ่ม คือ กลุ่มคนชนบท และกลุ่มคนแออัด คนชนบทคือคนส่วนใหญ่ในแผ่นดินที่มีปริมาณมากกว่าชุมชนแออัด เมื่อก่อนเรียกว่าสลัมในอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร ในเมืองใหญ่ ๆ ยิ่งมากยกเว้นเมืองที่เขาพัฒนาได้แล้ว เขาไม่มีชุมชนแออัด อันนี้เป็นผลงานที่พระสงฆ์จับตามองยืนอยู่เคียงข้างคนส่วนมากในแผ่นดิน
ชุมชนในชนบทและชุมชนแออัด ก็คือ บ้าน วัด โรงเรียน เมื่อแยกออกเป็นองค์กรจะเห็น รัฐ พระสงฆ์ ชาวบ้าน พระสงฆ์ทำหน้าที่เป็นกลางประสานระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ กับประชาชน ชาวบ้านไม่ว่าจะเรื่องแนวคิดเรื่องการระดมทุน ผลของงานแยกออกเป็นคุ้มในหมู่บ้าน ๕ หลังเป็น ๑ คุ้ม ๑๐ หลัง เป็น ๑ คุ้ม แต่ละคุ้มก็จะมีหัวหน้าคุ้ม กรรมการคุ้มมีสตรี เยาวชนคือตัวอย่างของคนในหมู่บ้านเรียกว่าชาวบ้าน อันนี้เป็นเรื่องที่เราจะเข้าไปสัมผัสให้รู้องค์กรหลักของบ้านคือ วัด โรงเรียน บ้าน ซึ่งในบางพื้นที่ท่านอ่าน บวร จะต้องมีเจ้าหน้าที่ของรัฐ อ.ก.ช. คือ อาสาสมัครส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิต อาสาสมัครนี้เราจะได้ในหมู่คนที่มีน้ำใจ ทำงานเสียสละ
พระสงฆ์เราเหมาะที่จะเป็น อ.ก.ช. คือทำงานบริการประชาชนด้วยความเสียสละ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ตอบแทน และในขณะเดียวกัน อ.ก.ช. จะต้องทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานระหว่างรัฐกับประชาชนชาวบ้าน รัฐกระทำหน้าที่เป็นครูชาวบ้านด้วยประสานไปที่ผู้นำกำนัน ผู้ใหญ่บ้านผู้รู้อื่น ๆ หัวหน้าคุ้มต่าง ๆ
พระสงฆ์จะต้องทำหน้าที่ตัวนี้ โดยความรู้สึกว่าผสมงาน ผสานใจ ให้สูตรกัน ๖ กันคือ
๑. รักใคร่กันดีกว่าชังกัน
๒. คิดถึงกันดีกว่าลืมกัน
๓. นับถือกันดีกว่ามองข้ามความสำคัญของกันและกัน
๔. ช่วยเหลือกันดีกว่าปล่อยกันทิ้งตัวใครตัวมัน
๕. ไม่วิวาทกัน
๖. สามัคคีกัน คือเกาะกลุ่มเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งเป็นลักษณะของนักพัฒนา จะต้องหลีกเลี่ยงความโดดเดี่ยวให้มีเอกภาพ อาจจะต้องมีลักษณะว่า ให้อภัย ใจเมตตา สามัคคี มีเอกภาพให้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ในการเป็นอยู่ระหว่าง บ้าน วัด โรงเรียน จะต้องอยู่ด้วยการยอมรับหลักการ ๔ ประการ
๑. ยอมรับสภาพความเป็นจริง
๒. ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่
๓. มองโลกในแง่ดี
๔. ดำเนินชีวิตในทางสายกลาง
ยอมรับสภาพความเป็นจริง ผิดยอมรับผิด อย่าดื้อดึงเอาชนะ แพ้ต้องยอมแพ้ ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ ต้องมีความเคลื่อนไหว
มองโลกในแง่ดี คืออย่าหาเรื่อง พุทธทาสท่านสอนเป็นคติเอาไว้แจ่มมาก ท่านว่า
“จะหาคนมีดีโดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยวค้นหาสหายเอ๋ย
เหมือนค้นหาหนวดเต่าตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง”
ดำเนินชีวิตตามทางสายกลาง อย่ามากอย่าน้อย มากเกินไปก็ไม่ดี น้อยเกินไปก็ไม่ดี แคบเกินไปไม่ดี หลวมเกินไปไม่ได้
“แคบนักมักคับขยับยาก
กว้างมากไม่มีอะไรจะใส่สม
สูงนักมักจะลอยตามลม
ต่ำนักมักจะจมธรณี”
เพราะฉะนั้นก็มาสู่ของจริง ของจริง คือ สูตร ๘-๔-๔-๕ ที่พระสงฆ์โคราชโดยการนำของเจ้าคุณพระธรรมวรนายก ได้รับไปใช้อยู่ ๘-๔-๔-๕
๘ คือ การพัฒนาผสมผสานตามเกณฑ์ จ ป ฐ ๘ คือ
๑. สุขภาพอาหารดี
๒. มีบ้านอาศัย
๓. ศึกษาอนามัยถ้วนถี่
๔. ครอบครัวปลอดภัย
๕. ได้ผลิตผลดี
๖. มีลูกไม่มาก
๗. อยากร่วมพัฒนา
๘. พาสู่คุณธรรม
อาหารดี หมายความว่าอย่างไร มีตัวชี้วัดอาหารดีอยู่ ๓ ตัว ๔ ตัว อะไรบ้าง พูดถึงสูตรที่เป็นหลัก อันนี้คือสูตรของพระสงฆ์เราไม่สงวนลิขสิทธิ์ พระนิสิตพระบัณฑิตจะเอาไปใช้ก็ไม่ว่ากัน ไม่ถือว่าเป็นการขโมยทรัพย์สินทางปัญญา เพราะไม่สงวนอยู่แล้ว
บุคลิกลักษณะ ๔ คือ การจัดลักษณะเฉพาะตัวของเรา เช่น กลุ่มเพื่อนร่วมงานของเรา ลูกน้องผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา เตรียมสร้างบุคลิกลักษณะ ๔ ประการ
๑. เตรียมตัวให้พร้อม จะอยู่หรือสึกไม่ว่า อยู่ก็ใครจะว่า แต่ต้องเตรียมตัวอยู่อย่าอยู่แบบบังเอิญ หรือไปไหนไม่ได้ ก็จำต้องอยู่ ถ้าไม่อยู่ก็เตรียมตัวสึก สึกไปจะมีหน้ามีตาเดินออกจากวัดจะได้มีคนเปิดประตูต้อนรับ สมัยก่อนได้นักธรรมโทเขาก็เอาเป็นบุรุษไปรษณีย์ ก็ได้ เดี๋ยวนี้เขาเอาเป็นภารโรงก็ดีแล้ว
๒. ฝึกซ้อมการปฏิบัติธรรม การทำวัตรการสวดมนต์ การบวชชี การบวชพราหมณ์ การบวชเณรภาคฤดูร้อน โครงการอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ต้องทำให้มาก
๓. นำปวงชนพัฒนาอย่าเดินตามหลังเขาต้อย ๆ ฟังแต่แนวคิด เอาแต่โครงการของผู้ใหญ่มาทำโดยที่ตัวเองไม่มีโครงการมันเสียศักดิ์ศรี เพราะในสังคมไทยเรานั้นยกให้เป็นผู้นำ ทั้งในคราวตาย นำเวียนซ้ายขึ้นเชิงตะกอนทั้งในความเป็นอยู่นำดำรงชีวิตจะต้องนำปวงชนพัฒนา คือก้าวไปข้างหน้าอย่างมีความมั่นใจ
๔. เป็นที่ปรึกษากิจต่าง ๆ เรื่องผัวเมีย เรื่องการเงินการทอง เรื่องสุขภาพร่างกายต้องเป็นที่ปรึกษาในกิจการต่าง ๆ ของเขาได้บ้าง อะไรต่าง ๆ เหล่านี้คือบุคลิกลักษณะ
สูตรที่ ๓ คือ มนุษยสัมพันธ์ ๔
๑. สนใจเราท่าน
๒. การงานยอมรับ
๓. ระดับยกย่อง
๔. ถูกต้องชื่นชม
สนใจเราท่าน เราก็คือตัวเรา อย่ามองแต่ความผิดของคนอื่น ต้องมองความผิดของเราด้วย อย่ามองแต่ความดีของเรามองความดีของคนอื่นเขาด้วย คนอื่นเขาก็มีดีเหมือนกัน ไม่ใช่ผิดแต่เขา เราก็ผิดบ้างเหมือนกัน
การงานยอมรับ งานวัด งานคณะสงฆ์ งานโรงเรียน งานสังคม งานของแผ่นดินงานหนักต้องเอา งานเบาต้อสู้ งานหลวงไม่ให้ขาด งานราษฎร์ไม่ให้เสีย จะทำอย่างไรจะแบ่งเวลาอย่างไรจะทำใจอย่างไร
ระดับยกย่อง เมื่อเราบวชใหม่ เราอยู่หางแถว พอ ๑ ปีผ่านไป ๒ ปีผ่านไป เราก็ขึ้นมาอยู่หัวแถวเรื่อย ๆ ต้องยกระดับของตัวเอง ด้านภูมิรู้ ด้านภูมิธรรม ยกระดับขึ้นมาให้สูงขึ้นจนกระทั่งเหมาะสมแก่สถานะของเรา
ถูกต้องชื่นชม ในหมู่พวกเรานั้น ใครทำถูกต้องชื่นชมยินดี ผู้บังคับบัญชาทำถูกก็ต้องชื่นชมยินดี ไม่ใช่นินทาผู้บังคับบัญชาเขาได้ทั้งปีทุกเรื่อง อย่างนี้ก็ไม่ไหว
สูตรที่ ๔ คือ กลยุทธ์ในการทำงาน ๕ กลยุทธ์ในการทำงาน ๕ เอามาจากสูตรผึ้งน้อย ผึ้งน้อยมีลักษณะ ๕ ประการคือ
๑. ขยันทำมาหากิน
๒. อย่าบินสูงนัก
๓. รักความสะอาด
๔. ฉลาดสะสม
๕. นิยมความสามัคคี
กลยุทธ์ในการทำงานของคนขยันทำมาหากิน ก็ได้อยู่ได้กินถมไป
อย่าบินสูงนัก อย่าหัวสูง อย่าเย่อหยิ่ง อย่าจองหอง
รักความสะอาด อย่ามัวหมองเรื่องผู้หญิง อย่ามัวหมองเรื่องการเงิน อย่ามัวหมองเรื่องสิ่งเสพติด อย่ามัวหมองเรื่องการพนัน ๔ ตัวแค่นี้ก็สบายแล้ว นอกจาก ๔ ตัวนี้ใครเขาจะติดตามจับพระสงฆ์ เขาก็ติดตามอยู่แค่ ๔ ตัวนี้ เรื่องผู้หญิง เรื่องการเงินเรื่องเหล้า เรื่องสิ่งเสพติดและก็เรื่องการพนัน ถ้าไม่คลุกคลีกับสิ่งเหล่านี้ เขาก็กราบตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่แล้ว
ฉลาดสะสม ต้องเป็นพระอนุรักษ์สะสมก็คืองานอนุรักษ์ งานอนุรักษ์คู่กับงานสร้างงานสร้างเป็นงานยากแต่ก็มีขอบเขตจำกัด มันกำหนดได้ว่าใช้เวลาเท่าไหร่ ใช้ทุนทรัพย์เท่าไหร่ ใช้กำลังคนเท่าไหร่ ส่วนงานอนุรักษ์ งานดูแลรักษานี้ที่เราจะต้องสะสมมรดกทั้งเป็นวัตถุสิ่งของทั้งเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ทั้งกิจกรรมอะไรต่าง ๆ พระสงฆ์เราจะต้องฉลาดในตัวนี้ งานอนุรักษ์นี้ทำอะไรบ้าง งานอนุรักษ์นั้นพระสงฆ์เราหรือคนที่จะทำงานด้านอนุรักษ์หรือทำการสะสมจะต้องให้ครบถ้วน ๕ ประการคือ
๑. ต้องทะนุถนอม
๒. ต้องดูแลรักษา
๓. ต้องเก็บงำ
๔. ต้องเสียดาย
๕. ต้องขยายผล คือ ทำให้งอกเงย
หลักของการทำงานสะสม หลักการอนุรักษ์จะต้องประกอบไปด้วย ๕ ประการนี้
นิยมความสามัคคี นักพัฒนาต้องหลีกเลี่ยงความโดดเดี่ยว อย่าเหนื่อยคนเดียวอย่ายากคนเดียว ถ้าทำคนเดียวเวลาเจ็บมันเจ็บคนเดียว เวลาบ้ามันก็บ้าคนเดียว ไม่มีใครเขามาช่วยบ้ากับเรา เพราะฉะนั้นต้องหลีกเลี่ยงความโดดเดี่ยว ต้องหาแนวร่วม หาหมู่หาเพื่อนให้มาก ๆ เป้าหมายในการพัฒนาชุมชนไม่ว่าจะเป็นชุมชนชนบทหรือชุมชนแออัด เราต้องกำหนดเป้าหมายการทำงาน ทุกอย่างต้องมีเป้าหมายอยู่แล้ว เช่น อย่างพระพุทธเจ้า พระองค์สร้างพระบารมีมาตลอดเวลาสี่อสงไขยกับแสนกัปป์ พระองค์ก็กำหนดเป้าหมายของพระองค์ว่าต้องการโพธิญาณ
เพราะฉะนั้น ในการทำงาน การเรียนของเรา ก็ต้องกำหนดเป้าหมาย เป้าหมายในการพัฒนาชุมชนไม่ว่าจะเป็นชุมชนชนบทหรือชุมชนแออัด อยู่ตรงไหนเรากำหนดเป้าหมายว่า ให้คนรู้จักคิด รู้จักทำ รู้จักแก้ปัญหาจนกว่าเขาจะคิดได้ ทำได้ แก้ปัญหาได้ คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น คิดถูก ทำถูก แก้ปัญหาถูกด้วยตัวของเขาเอง นั่นแหละ เรียกว่าบรรลุเป้าหมาย ถ้าตราบใดเราต้องไปให้รัฐบาลคิดให้ นายอำเภอคิดให้ ส.จ. คิดให้ ส.ส. คิดให้ ทางราชการทำให้ เมื่อนั้นยังไม่บรรลุเป้าหมาย สิ่งที่ทางราชการทำให้ สิ่งที่ ส.ส. ทำให้ สิ่งที่ ส.จ. ทำให้ มันจะกลายเป็นของหลวง มันจะกลายเป็นของคนอื่น เพราะฉะนั้น จอต้องเข้าให้ถึงจุดนี้ จึงเรียกว่า บรรลุเป้าหมายในการทำงาน
หลวงพ่อแก้ว วัดธาตุพนม ท่านกล่าวไว้เฉียบคมมาก ท่านบอกว่าประชาชนนั้นหรือคือรากแก้ว เปรียบการพัฒนาเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ให้คุณประโยชน์อะไรต่าง ๆ มากมาย เราเปรียบประชาชนเหมือนกับรากแก้ว รัฐบาลเพริศแพร้วคือคำต้น รัฐบาลที่ดีคือลำต้น ข้าราชการคือกิ่งก้าน ราชาผลยอดเด่นมองเห็นไกล องค์พระราชาที่เป็นประมุขแห่งชาติของเรา คือ ยอด นี้คือองค์กรในการพัฒนา ที่เรียกว่าองค์กร คือส่วนใหญ่ ๆ ประชาชนก็คือส่วนประกอบส่วนหนึ่ง รัฐบาลก็คือส่วนประกอบส่วนหนึ่ง ข้าราชการก็คือส่วนประกอบส่วนหนึ่ง สถาบันกษัตริย์ก็คือส่วนประกอบอีกส่วนหนึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ
อุปสรรคในการพัฒนาชุมชนนั้นมีอยู่ ๕ ประการ คือ
๑. ประชาชนยังเกลือกกลั้วอบายมุข
๒. องค์กรที่จะชี้นำทางภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรทางศาสนา ขาดจิตสำนึกที่จะบริการประชาชน ข้าราชการก็ยังทำตัวเป็นเจ้าขุนมูลนาย พระเจ้าพระสงฆ์ก็มุ่งอดิเรกลาภอยู่ จะสวดทีจะเทศน์ทีก็ต้องมีซองต้องมีค่าตอบแทน ไม่มีน้ำจิตน้ำใจที่จะบริการประชาชนอย่างแท้จริง
๓. ประชาชนเองขาดการรู้เรื่องการพัฒนา เช่น ขาดความรู้เรื่องแหล่งน้ำ ขาดความรู้เรื่องส้วม ขาดความรู้เรื่องโรคทางเดินอาหาร ขาดความรู้เรื่องการอนุรักษ์ ขาดความรู้เรื่องระบบนิเวศน์วิทยา
๔. กิจกรรมที่พัฒนาไม่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน ประชาชนต้องการแหล่งน้ำ ไปสร้างถนนให้ ประชาชนต้องการสถานีอนามัยไปสร้างแหล่งน้ำให้มันไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน
๕. องค์กรพัฒนาของรัฐและองค์กรอื่น ๆ รวมทั้งองค์กรสงฆ์ องค์กรเอกชน ยิ่งต่างคนต่างทำไม่มีการประสมประสานใจให้สอดคล้องกันอย่างแท้จริง โทรศัพท์ขุดถนน พอกลบเสร็จเรียบร้อยแล้วไฟฟ้า มาขุดอีก พอกลบเสร็จประปามาขุดอีก อย่างที่เห็นเป็นประจำ อย่างที่บ้านเมืองเรา นี่คือองค์กรของรัฐและองค์กรอื่น ๆ องค์กรอื่น ๆ หมายถึงองค์กรเอกชน องค์กรทางศาสนายังทำงานบริการประชาชนในลักษณะต่างคนต่างทำ ยังไม่มีการประสมประสานใจ
พอลงไปถามเรื่องงานของรัฐ พระสงฆ์ก็บอกว่าฉันไม่เข้าใจ ไม่ใช่งานของฉัน เป็นงานของปลัดอำเภอ เป็นงานของพัฒนาการ เป็นงานของสาธารณสุข พอเข้าไปถามผุ้บังคับบัญชาก็บอกว่าไม่ใช่งานของผม เป็นงานของพระสงฆ์ท่าน ผมไม่เข้าใจ ผมไม่รู้ท่านจะทำอย่างไร ท่านเอาเงินเอาทองมาจากไหน ท่านจะทำอย่างไร แบบเป็นอย่างไร ผมไม่รู้ไม่เข้าใจ ต่างคนต่างทำ
อันนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากอยู่ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ผมจึงให้คติในกรทำงานว่า บ้านจะเจริญก่อนคนในบ้านไม่ได้ ต้องคนในบ้านเจริญก่อน ผลักดันให้บ้านเจริญ วัดจะเจริญก่อนคนในวัดไม่ได้ ต้องคนในวัดเจริญก่อนแล้วผลักดันให้วัดเจริญ โรงเรียนจะเจริญก่อนคนในโรงเรียนไม่ได้ ต้องคนในโรงเรียนเจริญก่อน แล้วผลักดันให้โรงเรียนเจริญ บ้าน วัด โรงเรียน บ้านเหมือนร่างกาย วัดเหมือนจิตใจ โรงเรียนเหมือนมันสมอง บ้านที่ไม่พัฒนาก็เหมือนกับร่างกายพิการ วัดที่ไม่พัฒนาก็เหมือนกับจิตใจพิการ โรงเรียนที่ไม่พัฒนาก็เหมือนกับสมองพิการ คนเราถ้าร่างกายพิการ สมองพิการ มันก็จบกันทั้ง ๓ อย่าง
บางทีโรงเรียนพัฒนา แต่วัดไม่พัฒนา มันสมองดีแต่จิตใจไม่ดี ไม่มีคุณธรรม เฉลียวฉลาด รู้เจนจบไปทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ว่าคุณธรรมไม่มีเพราะไม่ได้รับการพัฒนาจิตใจ มันก็ไปไม่รอด เพราะฉะนั้น ในชุมชนจะต้องพัฒนาบ้าน วัด โรงเรียน พัฒนาผู้นำทางบ้าน คือ กำนันผู้ใหญ่บ้าน กรรมการหมู่บ้าน หัวหน้าคุ้ม และประชากรที่เป็นส่วนประกอบของคุ้มต่าง ๆ วัดคือเจ้าอาวาส องค์กรสงฆ์ พระภิกษุสามเณร สัตบุรุษ กรรมการวัด โรงเรียน ครูใหญ่ นักเรียน กรรมการการศึกษา จะต้องมีการพัฒนา ๓ ส่วน นี้ไปพร้อม ๆ กัน ทีนี้การที่จะทำงานตัวนี้มันไม่ใช่เป็นของง่ายนัก เราจะต้องมีแนวทางในการคิด ในการทำการที่จะทำอะไรต้องมีแนวทาง
จากประสบการณ์การทำงานโดยตรง ก็นำมาเรียนว่า เราใช้การศึกษาดูงานเป็นการเรียนลัดของคนในชนบท คนในชุมชนแออัดที่ไม่มีโอกาสทางการศึกษา ด้อยโอกาสทางการศึกษา ไม่เหมือนคนอื่นหรือเหมือนกับพวกเรา เพราะฉะนั้นจึงต้องให้การศึกษาแก่เขาโดยการเรียนลัด คือศึกษาดูงาน นำไปศึกษาดูการทำเกษตรผสมผสาน ศึกษาดูงานการเลี้ยงไก่ นำไปศึกษาดูงาน นำไปดูการตีมีด ตีเหล็กที่บ้านอรัญญิก นำไปดู ๓ ประสานความคิดผู้นำทางบ้าน ผู้นำทางวัด ผู้นำทางโรงเรียน เราไม่มองข้ามความสำคัญของเขา เราขอเชิญเขามาคิดร่วมกันขอให้แสดงความเห็นด้วยกัน ต่อปัญหาที่พวกเราประสบกันอยู่ว่ามองเห็นไหม คิดอย่างไร หาทางออกอย่างไร แผนของรัฐบาลเป็นอย่างนี้ แผนของจังหวัดเป็นอย่างนี้ แผนของสภาตำบลเป็นอย่างนี้ เราจะเสนอแผนนั้นโดยนำมาเป็นแผนเฉพาะของเราอย่างไร ต้องมาผสานความคิดกัน
การประสานความคิดนี้เท่ากับเป็นการให้เกียรติแก่ผู้นำทางบ้าน ผู้นำทางวัด ทางโรงเรียน จะเกิดความรักความเข้าใจผูกพัน ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และจะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ถ่ายเททรัพยากรบุคคล ถ่ายเททุนดำเนินการที่จะพัฒนา บ้าน วัด โรงเรียนออกไป ติดอุดมการณ์คือตั้งเป้าหมายเอาไว้ให้สูงว่า บ้านเราจะเอาแค่ไหน จากการศึกษาดูงานจากการประสานความคิดเสร็จแล้วเราพอจะกำหนดได้ว่า เราจะติดอุดมการณ์แค่ไหน ปีนี้เราจะทำส้วมให้ได้ ๑๐๐% มันยังขาดอยู่เท่าไหร่ ยืมเงินผ้าป่า ยืมเงินกฐินจากวัดไปบริการประชาชนก่อนได้ไหม ใช้ก่อนไม่สูญเราจะเอามาชดใช้คืน แต่เอาไปบริการประชาชนก่อนเพี่อให้เห็นน้ำใจว่า พระสงฆ์เอื้อเฟื้อแก่ประชาชน นี่คือการติดอุดมการณ์ช่วยกันทำให้เสร็จ ปรับพื้นฐานความรู้ของประชาชน ให้มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการพัฒนาผสมผสานหรือเกณฑ์การพัฒนา จ.ป.ฐ. ความสำเร็จเป็นพื้นฐาน ให้ได้ครบถ้วนทุกประการ ฟื้นฟูศาสนาและวัฒนธรรม